นักลงทุนถาม คริปโตเคอเรนซี ใน อินเดีย ถูกกฎหมายหรือไม่

นักลงทุนตั้งคำถาม คริปโตเคอเรนซี ในประเทศ อินเดีย จะถูกกฎหมายหรือไม่

ในขณะที่สถานะของ คริปโตเคอเรนซี ในประเทศ อินเดีย นั้นยังคงไม่ชัดเจนหลังจากที่มีการอภิปรายงบประมาณประจำรายปีของประเทศ อินเดีย นักลงทุนในโลก คริปโตเคอเรนซี ประเทศ อินเดีย นั้นก็ต่างเห็นความหวังว่า นี่คือก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากยิ่งขึ้น 

Narendra Modi นักการเมืองของประเทศ อินเดีย ได้กล่าวในระหว่างประกาศงบประมาณเมื่อวันอังคารว่าจะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลอย่างเป็นทางการและจะเริ่มเก็บภาษีสำหรับรายได้ที่ได้รับจาก คริปโตเคอเรนซี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2022 – 2023 เป็นต้นไป

หลังจากที่ประเทศ อินเดีย เคยห้ามเหล่านักลงทุน ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือ คริปโตเคอเรนซี เมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่ามาตรการของปีนี้นั้นจะเปลี่ยนไป แม้ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง Nirmala Sitharaman ยืนยันว่า คริปโตเคอเรนซี ไม่อาจนับว่าเป็นสกุลเงินได้ แต่ทางประเทศ อินเดีย ก็ยังคงมีโครงการที่จะเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง อินเดีย โดยมีกำหนดจะเปิดตัวให้ใช้งานในปีหน้า

“สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง ( CBDC ) หรือรูปีดิจิทัล จะสร้างระบบจัดการสกุลเงินที่มีประสิทธิภาพ และถูกกว่าเป็นอย่างมากในประเทศ ที่ยังพึ่งพาเงินสดเป็นส่วนใหญ่”

Sitharaman กล่าว

อินเดีย ยังยืนยันเก็บภาษี 30%

ในขณะเดียวกันรัฐบาล อินเดีย ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีรายได้ที่ได้จากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งเราจะเริ่มต้นเก็บที่ 30% แต่เรายังคงต้องมองหาความเหมาะสมกันดูอีกทีว่าภาษี 30% นั้นจะรวมถึงค่าธรรมเนียมด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นก้าวที่สำคัญที่อาจจะ ทำให้เกิดการยอมรับ คริปโตเคอเรนซี มากขึ้นในประเทศ อินเดีย และอาจจะผลักดันให้ คริปโตเคอเรนซี ถูกกฎหมายก็เป็นได้ 

สำหรับผู้ที่คอยสังเกตการณ์อุตสาหกรรม คริปโตเคอเรนซี ส่วนมากก็ถือว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่นำไปสู่การทำให้ คริปโตเคอเรนซี นั้นถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล อินเดีย

Gursimran Jit Oberoi นักลงทุนและนักเขียนบทความเกี่ยวกับ คริปโตเคอเรนซี ได้อธิบายว่าการเก็บภาษีเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลนั้น เป็นเรื่องที่เป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม 

“โดยปกติเราจ่ายภาษีมากกว่า 30% อยู่แล้ว สำหรับรายได้ที่มาจากแหล่งอื่น แล้วมันจะแปลกอะไรสำหรับผลกำไรที่ทำได้จาก คริปโตเคอเรนซี ดังนั้นสำหรับผมแล้วมันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย มีแต่แง่บวกที่เกิดขึ้นว่านี่คือการยอมรับของรัฐบาล อินเดีย โดยตรงและมันอาจจะถูกกฎหมาย”

กฎหมายเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลอย่างเป็นทางการของประเทศ อินเดีย อาจมีการห้ามให้ผู้ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน คริปโตเคอเรนซี แบบส่วนตัว รวมถึงอาจจะต้องมอบอำนาจให้ธนาคารกลางของ อินเดีย ในการออกสกุลเงินดิจิทัลเพื่อใช้งานในโลก คริปโตเคอเรนซี อีกด้วย

ในขณะนี้ สกุลเงินดิจิทัลยังคงอยู่ในขอบเขตทางกฎหมาย หัวหน้าหน่วยงานทางด้านภาษีของประเทศ อินเดีย JB Mohapatra ได้แสดงความคิดเห็นหลังอภิปรายงบประมาณรายปี และเน้นย้ำว่าการเก็บภาษี คริปโตเคอเรนซี ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ คริปโตเคอเรนซี นั้นมีสถานะทางกฎหมาย

“หน่วยงานของเราไม่ได้มานั่งพิจารณาความถูกต้องตามกฎหมายของธุรกรรมใด ๆ ” Mohapatra กล่าว “เราจะพิจารณาตามขอบเขตของกรมภาษีเงินได้และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้เท่านั้นว่าธุรกรรมที่คุณทำนั้นส่งผลให้เกิดรายได้หรือไม่ เราไม่ได้ให้การเก็บภาษีของ คริปโตเคอเรนซี นั้นอยู่ภายใต้กฎหมายการเสียภาษีรายได้แบบอื่น”

การเก็บภาษีที่อัตราคงที่ 30% สำหรับ คริปโตเคอเรนซี นั้นสอดคล้องกับรายได้จากการเก็งกำไร ในรูปแบบอื่น ๆ อย่างเช่นการชนะลอตเตอรี่ ก็ถูกเก็บภาษีที่ 30% เช่นเดียวกัน ในประเทศ อินเดีย ซึ่งนักลงทุนจะไม่สามารถเรียกร้องการหักลดหย่อนภาษีใด ๆ ได้

อินเดีย ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน สำหรับ วิธีการเก็บภาษี

ถ้อยคำและคำแถลงของรัฐบาลมีความคลุมเครือว่าภาษีจะถูกเก็บจากกำไรสุทธิประจำปีหรือจะเป็นการขายหรือธุรกรรมที่ได้กำไรในแต่ละครั้ง ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับ ความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น หากนักลงทุนสร้างรายได้จากสกุลเงินดิจิทัล แล้วขาดทุนไปในภายภาคหลังหรือสูญเสียเงินในรูปแบบสกุลเงินอื่น หากเป็นกรณีแบบนี้แล้วจำเป็นจะต้องเสียภาษีอยู่หรือไม่ 

ความสูญเสียจากสกุลเงินดิจิทัลไม่สามารถหักล้างกับรายได้จากแหล่งอื่น อย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์หรือเงินเดือนไม่สามารถนำความสูญเสียส่งต่อไปในปีต่อ ๆ ไป แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าผลกำไรที่ได้จากการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งจะสามารถชดเชยการสูญเสียจากอีกประเภทหนึ่งได้หรือไม่

“ภาษีที่เก็บที่อัตรา 30% นั้นควรคิดและคำนวณมาจากผลกำไรสุทธิประจำปีจากสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด” Harry Parikh หุ้นส่วนของ M&A Tax and Regulationy Services ในมุมไบ กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera

รัฐบาลยังได้แนะนำข้อกำหนดที่อาจจะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 1% จากแหล่งที่มาเมื่อนักลงทุนขายสกุลเงินดิจิทัลโดยที่ 29% ที่เหลือจะเป็นการจ่ายในภายหลัง เพื่อติดตามผู้ซื้อและผู้ขาย

อินเดีย จะเป็นต้นแบบของการเก็บภาษี คริปโตเคอเรนซี

Parikh กล่าวว่าข้อเสนอปัจจุบันนั้นเปรียบเสมือนกับ ต้นแบบของระบบภาษี คริปโตเคอเรนซี แล้วเราจะทำให้มันชัดเจนขึ้นมาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

“การจะทำให้มันสามารถใช้งานได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากเนื่องจากไม่สามารถระบุผู้ซื้อขายได้อย่างชัดเจนผู้คนจำนวนมากอาจจะไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหากกฎหมายที่ร่างขึ้นนั้นไม่สามารถตีความได้ดี” Parikh กล่าวเสริม

อัตราภาษี 30% น่าจะเป็นเรื่องที่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับเหล่านักลงทุนที่มีรายได้น้อย และเราอาจจะเห็นพวกเขาย้ายไปอยู่ในประเภททรัพย์สินเสี่ยงที่มีอัตราการเก็บภาษีที่น้อยกว่า อย่างเช่นกองทุนรวมและหุ้นเป็นต้น 

แต่ทางด้าน Oberoi กล่าวว่า การตรวจสอบ คริปโตเคอเรนซี แบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นขั้นเป็นตอนนี้จะทำให้นักลงทุนรายใหญ่ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนในโลกของ คริปโตเคอเรนซี เข้ามาลงทุนในพื้นที่นี้ด้วย

“พวกเราคาดหวังว่า เหล่านายทุนใหญ่ บริษัทต่าง ๆ และภาคครัวเรือนจะเปิดรับ คริปโตเคอเรนซี แบบถูกกฎหมาย”

สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการของธนาคารกลาง อินเดีย ถูกมองว่าเป็น เงิน Fiat เวอร์ชั่นดิจิทัลและไม่ได้มีวัตถุประสงค์มาเพื่อการแข่งขันโดยตรง กับ คริปโตเคอเรนซี อื่นอย่าง Bitcoin

นี่ก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญว่า สกุลเงินดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ และ คริปโตเคอเรนซี นั้นจะถูกกฎหมายในประเทศ อินเดีย หรือไม่ ซึ่งหากมีกฎหมายที่ร่างในการเก็บภาษีรายได้ 30% และเป็นที่ยอมรับกันได้จริง ๆ นั้น จะเป็นการยอมรับโดยนัยและมีความหมายโดยนัยว่า ประเทศ อินเดีย กำลังยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสกุลเงินดิจิทัลให้เป็นสินทรัพย์ที่มีผลทางกฎหมาย อาจจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่าง ๆ มากมาย อาจจะกล้าที่จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประเภทนี้มากขึ้น

แหล่งข่าว: aljazeera.com