เทคโนโลยีบล็อกเชน ได้แสดงให้เห็นศักยภาพมหาศาลในการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมแบบเดิม ๆ ที่ต้องการความสามารถในความปลอดภัยและรวดเร็วสำหรับการทำธุรกรรมการเงิน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีบล็อกเชน ต้องเผชิญกับความท้าทายในการนำบล็อกเชนมาใช้

ความท้าทายหลักสำหรับการนำบล็อกเชนมาใช้งาน

เทคโนโลยีบล็อกเชน นอกจากการแข่งขันกันเรื่องความน่าสนใจในการใช้งาน เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำบล็อกเชนนั้นก็มีมากมาย เพื่อให้การใช้งานนั้นเป็นไปอย่างดีและมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการเป็นตัวกลางในการทำงานของระบบการเงินดิจิทัลได้ในอนาคตนั้น จะมีความท้าทายที่สำคัญที่บล็อกเชนนั้นจะต้องทำให้ได้ดังนี้

1. ปัญหาด้านความปลอดภัยของบล็อกเชน

มีปัญหามากมายเกี่ยวกับบล็อกเชนและปัญหาด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นจุดอ่อนของ บล็อกเชน ในแง่ของความปลอดภัยคืออะไรบ้าง

51% attacks

การทำงานของบล็อกเชนที่เป็นรูปแบบการกระจายอำนาจ มีการกระจาย Node การทำงานไปทั่วโลก ซึ่งเป็นแนวทางที่บอกไว้ว่าจะไม่มีระบบล่มและไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง ข้อมูลได้ แต่นั่นก็คือจะต้องไม่ถูกโจมตี Node ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากกว่า 51% จากทั้งหมด ซึ่งจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับเครือข่ายที่ใช้มาตรฐานการพิสูจน์การทำงาน ( PoW ) 

ในอดีตที่ผ่านมาก็มีเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้รับการโจมตี 51% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แก่ Bitcoin Cash ABC ( BCHA ), Bitcoin Cash ( BCH ) และ Ethereum Classic

Flash loan attacks

ปัญหาด้านความปลอดภัยอื่น ๆ ที่เครือข่ายบล็อกเชนต้องเผชิญคือการโจมตีด้วย Flash loan การโจมตีประเภทนี้มักจะใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ DeFi แบบ Smart Contract จะทำการโจมตีด้วยการเสนอเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันกับเครือข่ายส่วนใหญ่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับ Know Your Customer ( KYC ) ที่หละหลวม ด้วยเหตุนี้ ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่ในการเก็งกำไรเพื่อจัดการกับมูลค่าโทเคนและถอนผลกำไรไปยังเครือข่ายอื่น ๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

Coding loopholes

อีกหนึ่งปัญหาของ บล็อกเชนก็คือ การพัฒนาระบบที่มีช่องโหว่ ซึ่งเป็นปัญหากับทุกระบบที่แฮกเกอร์ จะพยายามหาจุดอ่อนต่าง ๆ ของโปรแกรมในระบบแล้วทำการเจาะเข้าระบบมาให้ได้ แล้วทำการโจรกรรมข้อมูลต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นกับ บล็อกเชนแบบรวมศูนย์ที่มักจะมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะมีข้อมูลลูกค้าที่ใช้บริการมากมายในนั้น

Centralization of information

ปัญหาด้านความปลอดภัยอีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อบล็อกเชนคือ การรวมศูนย์ข้อมูล โดยเฉพาะในระบบบล็อกเชนที่ต้องอาศัยแหล่งข้อมูลภายนอก ตัวอย่างเช่น เครือข่ายบางเครือข่ายใช้ระบบ oracle เพื่อกำหนดราคาบนระบบนิเวศของตน และในบางกรณีก็นำไปสู่ความสูญเสียจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากปัญหาด้านข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในบางช่วงเวลาแต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

2. ความสามารถในการรองรับการขยายตัวของธุรกรรมและการทำงานร่วมกันของ บล็อกเชน

เทคโนโลยีบล็อกเชนมีการพัฒนาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถปรับขนาดการทำธุรกรรมได้มากขึ้นเมื่อมีการใช้งานเพิ่มขึ้น ถ้าหากบล็อกเชนได้รับความนิยมมากขึ้นความเร็วในการทำงานและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมก็จะต้องถูกและเหมาะสมด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้แข่งขันกันในปัจจุบันนี้

นอกจากนี้ยังจะต้องมีการพัฒนาให้บล็อกเชนนั้นสามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งระบบภายในและภายนอก รวมถึงการเชื่อมต่อไปยัง Chain อื่น ๆ ก็เป็นความสำคัญไม่แพ้กัน

3. ความท้าทายในการใช้พลังงาน

ระบบบล็อกเชนของ บิทคอยน์ และ อิเธอเรียม เป็นระบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเป็นระบบบล็อกเชนใช้พลังงานสูงมากในการดำเนินการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ ประเทศนั้นออกมาต่อต้านอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ การขุด BTC เพียงอย่างเดียวนั้นคาดว่าจะใช้ไฟฟ้าประมาณ 100 เทราวัตต์ – ชั่วโมง ต่อปี ซึ่งมากกว่าปริมาณพลังงานที่ใช้ในประเทศอย่างฟินแลนด์ และยังคาดว่ามัการผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 97 เมตริกตันทุกปี สิ่งนี้ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความกังวลต่อหน่วยงานกำกับดูแล

ในการแก้ปัญหาก็จะมีทั้งการพัฒนาระบบไปใช้รูปแบบของ proof-of-stake ที่ช่วยลด Node การทำงานไปได้อย่างมาก ตัวอย่างของ อิเธอเรียม ที่ใช้พลังงานประมาณ 73.2 TWh ต่อปี การใช้พลังงานคาดว่าจะลดลง 99.95% เมื่อการเปิดตัว อิเธอเรียม 2.0 เสร็จสมบูรณ์ หรืออีกทางเลือกที่กำลังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดในการทำงาน

4. ขาดแคลนบุคลากรที่ทำงานในเทคโนโลยีบล็อกเชน

ในตลาดแรงงานจากสถิติล่าสุด ความต้องการผู้มีความสามารถด้านบล็อกเชนเพิ่มขึ้นกว่า 300% เนื่องจากทั้งบริษัทที่จัดตั้งขึ้นและสตาร์ทอัพต่างแย่งชิงพนักงานที่มีความสามารถสูงเกี่ยวกับบล็อกเชน ซึ่งผู้ที่เชี่ยวชาญจริง ๆ นั้นยังมีน้อยอยู่มาก

จากข้อมูลของ Bloomberg มีคนจำนวนมากที่ถูกล่อลวงจากงานหลักของพวกเขา เมื่อเปลี่ยนมาทำงานในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนจะได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น 50% และอีกมากมาย โดยทั่วไปพนักงานที่เกี่ยวข้องกับ คริปโตเคอเรนซี จะได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าพนักงานในสินทรัพย์ประเภทอื่นอย่างน้อย 20% เป็นตัวเลขค่าจ้างที่สูงมาก แต่ก็มีแรงงานไม่เพียงพอเช่นกัน

5. ความยากในการนำไปใช้งาน

เนื่องจากการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้งานนั้นต้องการผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี ที่จะสามารถนำระบบนั้นไปประยุกต์กับการทำงานด้านอื่น ๆ จึงเป็นความยากที่สำคัญของการเติบโตในเทคโนโลยีบล็อกเชนที่แต่ละผู้ให้บริการนั้นจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ และจะต้องมีการช่วยเหลือให้มากที่สุดในช่วงแรกเริ่มนี้

ในขณะนี้ การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ที่มีแนวโน้มว่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์ม Web3 ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นแบบการกระจายศูนย์และยังสามารถสร้างรายได้ได้ด้วย