ณ ตอนนี้ล่าสุด ตลาดใหม่ฮอตที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุด มีชื่อว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล คริปโตเคอเรนซี” ด้วยความที่มีความนิยมมาก ๆ จึงทำให้กรมสรรพากรมีความสนใจเป็นอย่างสูงในการเรียกเก็บ ภาษีคริปโต แต่ถึงอย่างนั้น ก็ได้มีบริษัทที่ผลิตพลังงานแห่งใหญ่ที่สุดอย่าง กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ได้มีการประกาศออกมาว่า จะมีการส่งบริษัทลูกของตัวเอง “กัลฟ์ อินโนวา” โดยให้มีการร่วมมือกันกับ Binance ซึ่งเป็นศูนย์รวมต่าง ๆ เกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ด้านดิจิทัลและยังได้เป็นที่ 1 ของโลก เพื่อจัดตั้งโครงการ ธุรกิจใหม่ New S-curve และเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ( Digital Asset Exchange ) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังได้มีการพัฒนาไปได้ไวที่สุดของกลุ่ม GULF อีกด้วย
CFO กัลฟ์วิเคราะห์ คริปโตเคอเรนซี ของไทย
ทาง CFO ของกัลฟ์ หรือ คุณยุพาพิน วังวิวัฒน์ ได้เสนอความคิดเห็นว่า ธุรกิจด้านตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีโอกาสพัฒนาตัวเองไปได้อย่างดีมากไม่เพียงแต่ด้านดิจิทัลเท่านั้นด้านอื่น ๆ ก็สามารถที่จะพัฒนาธุรกิจไปได้อย่างไกลมากกว่าปัจจุบันมากเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้มีความสนใจและมีบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ( Digital Asset Exchange ) ในท้องตลาดมากถึงกว่า 3 ล้านบัญชี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความนิยมมากและยังมีเพิ่มต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อีกจน ณ ปัจจุบัน 2565 โดยตัว คริปโตเคอเรนซี หรือเรียกอีกอย่างว่า สกุลเงินเข้ารหัส มีความนิยมซื้อขายเป็นอย่างสูงและมากที่สุดในทั่วโลก ซึ่งตอนนี้ ราคาของตัว คริปโตเคอเรนซี นั้นอยู่ที่ 26 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะเหรียญที่ดังมากอย่าง Bitcoin ล่าสุดราคาอยู่ที่ ประมาณเหรียญละ 1.37 ล้านบาท หรือ 41,700 ดอลลาร์ ซึ่งสูงมาก มากกว่าจีดีพีของประเทศไทยถึง 10 ล้านล้านบาท
ความสนใจต่อ คริปโตเคอเรนซี ที่มีในประเทศไทย
ในปัจจุบันมีบริษัทมากถึง 19 แห่ง มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัลและ คริปโตเคอเรนซี เพื่อเสนอขาย “ดิจิทัลโคเคน” โดย คุณจอมขวัญ คงสกุล ผู้ช่วยเลขาธิการฯ โฆษก ก.ล.ต บอกว่า ได้มีการจัดโครงการระดุมทุนกันซึ่งมีทั้งการใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินอ้างอิงหรือไม่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินอ้างอิง และก่อนหน้านี้ บริษัท แสนสิริ ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ได้มีการจัดโครงการระดมทุนผ่าน โทเคนดิจิทัล ไปถึง 2,400 ล้านบาท โดยมีอสังหาริมทรัพย์อ้างอิง ซึ่งปัจจุบันได้เห็นข้อมูลในการซื้อขายผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลและ คริปโตเคอเรนซี กันวันนึงวันละหลายหมื่นล้านบาท จึงคาดว่าปีนี้น่าจะได้เห็นการลงทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโตกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เก็บภาษี คริปโตเคอเรนซี ยังไม่ลงตัวขอเลื่อนออกไปก่อน
ในเรื่องของการเก็บ ภาษีคริปโต การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี นั้น ได้มีข่าวออกมาว่าทาง คณะกรรมาธิการการเงินและการคลัง สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเชิญหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง สมาคมฟินเทคฯ กรมสรรพากร สมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลเบื้องต้น และก็ได้ผลสรุปมาว่าทางฝ่ายตลาดขอให้มีการทบทวนและขอให้เลื่อนออกไปอีกรอบในเรื่องของการเก็บภาษี การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี บริษัท บิทคับ แคปปิตอล ซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ซื้อขายคริปโต คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กรุ๊ปซีอีโอ ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าทางประเทศไทยได้มีการเก็บ ภาษีคริปโต การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี เกิดขึ้นจะทำให้นักลงทุนในประเทศหันไปซื้อขายคริปโตกับทางต่างประเทศแทน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยส่งผลกระทบด้านการลงทุนหุ้น คริปโตเคอเรนซี แน่นอน และยังจะทำได้ยากเพราะตลาดการเทรด คริปโตเคอเรนซี ไม่ได้มีเพียงตลาดเดียวและไม่ได้ครอบคลุมเหมือนตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย
ซึ่งคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ได้มีการเสนอความคิดเห็นว่า อยากให้เลื่อนระยะเวลาออกไปก่อนประมาณ 2 ปีในการเก็บ ภาษีคริปโต การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี รอให้กฎหมายได้มีการปรับมาใช้ตัวใหม่ล่าสุดก่อน และถ้ามีการเก็บ ภาษีคริปโต การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี ก็ควรจะเก็บเป็นชนิด Transaction Tax แต่ถึงอย่างไรก็ยังจะส่งผลให้นักลงทุนไปซื้อขายกับต่างประเทศอยู่ดี และคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ก็ยังเสนอความคิดเห็นอีกว่าช่วงนี้ควรรอให้สถานการณ์การขายหุ้น คริปโตเคอเรนซี นั่นแข็งแรงและพัฒนาเติบโตไปได้ไกลกว่านี้ก่อน แล้วค่อยเริ่มเก็บ ภาษีคริปโต ก็ยังไม่สาย ระหว่างในช่วงนี้ก็เก็บกำไรจากบริษัทคริปโตไปก่อนก็ได้ แค่นี้ก็ได้กำไรดีพออยู่แล้ว เพราะถ้ารีบเก็บตอนนี้ ระวังคนลงทุนจะหายไปกันเสียก่อน