กรณีของ Terra โปรเจกต์มันไม่ใช่ ผู้ก่อตั้ง Binance กล่าว

กรณีของ Terra โปรเจกต์มันไม่ใช่ ผู้ก่อตั้ง Binance กล่าว

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ชาวคริปโตเคอเรนซีต่างก็ได้พบกับ วิกฤต Terra เป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่สำคัญที่คงจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คริปโตเคอเรนซีไปอีกยาวนาน ที่ทำให้ 2 เหรียญยักษ์ใหญ่อย่าง LUNA และ UST ต่างราคาร่วงลงเป็นอย่างมาก และไม่ว่านักลงทุนจะลงทุนเหรียญคริปโตเคอเรนซีอะไร สายไหน ก็คงจะไม่รอดพ้นจากลูกหลงไปได้อย่างแน่นอน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Changpeng Zhao หรือที่รู้จักกันในนาม CZ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Binance ก็ได้ออกมาแกะกรณีศึกษาของ Terra อย่างละเอียด พร้อมเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของ Binance

บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์การล่มสลายของ Terra

เริ่มจากการออกแบบระบบ การที่ตรึงราคา สินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งไว้กับอีกสินทรัพย์ดิจิทัลหนึ่งนั้นมีความเสี่ยงอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะมีสินทรัพย์ดิจิทัลหนุนหลังไว้เป็นหลัก 10 เท่าก็ตาม เพราะถ้าหากสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นราคาดิ่งลงมามากกว่า 10 เท่าก็จะยังเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ราคาหลุด ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอน 100% และ ที่โง่ที่สุด ก็คือการคิดว่ายิ่งเพิ่มปริมาณเหรียญ Terra จะยิ่งทำให้มูลค่าทางการตลาดสูงขึ้น มันก็เหมือนกับการพิมพ์เงินออกมาเพิ่มในระบบนั่นเอง ดังนั้นการที่ยิ่ง Mint เหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลง และทิ้งท้ายด้วยการกล่าวจวกแรงว่า ใครก็ตามที่ออกแบบมันขึ้นมา ก็ควรไปเช็คสมองได้แล้ว

การจ่ายดอกสูง ไม่ได้แปลว่าโปรเจกต์ Terra จะดีเสมอไป

ซึ่ง CZ มองว่า Terra เองก็ยังพอมี Use case อยู่บ้าง ซึ่งการเติบโตมันกลับตามไม่ทันผลตอบแทนที่จากการลงทุนที่ Terra ทุ่มลงไปเพื่อดึงดูดผู้ใช้หน้าใหม่ให้เข้ามาสู่วังวนของ Terra ซึ่งการเติบโตที่ตามไม่ทันนั่นเองจึงกลายเป็น หลุม นั่นเองและท้ายที่สุดก็ฟองสบู่แตกอย่างที่เห็น ซึ่งบทเรียนในครั้งนี้ ได้สอนให้รู้ว่าอย่าไปดูแค่ผลตอบแทนต่อปีแต่ให้ไปดูที่พื้นฐานของเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่จะลงทุนด้วย

เหรียญ Terra ได้หลุด Peg กับการแก้ปัญหาที่ไม่ได้แก้ปัญหา

ทีมงานของ Terra ชักช้ากว่าที่จะยอมหยิบเงินสำรองมาแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า Terra ยอมเอาเงินสำรองมาใช้ตั้งแต่ราคาหลุดไป 5% แต่หลังจากราคาดิ่งลงไป 99% แล้วกลับพยายามใช้เงิน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้ามาโปะ ซึ่งแน่นอนว่ามันสายไปแล้ว นอกจากนี้ทีมงานของ Terra ยังทำงานช้าและไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคอมมูนิตี้มากพอ ซึ่งนั่นเองก็ยิ่งเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีวิกฤตเช่นนี้เองก็ยิ่งต้องมีการพูดคุยมากกว่าปกติ

อย่างไรก็ตามมันเกิดขึ้นแล้ว นักลงทุนต่างก็ได้เห็นแล้วว่าวิกฤตของ Terra ในครั้งนี้นั้นได้แพร่กระจายและส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็น USDT ก็หลุด Peg มาที่ประมาณ 0.96 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ฟื้นคืนมาได้ไม่นานหลังจากนั้น รวมไปถึงหลากหลายโปรเจกต์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน อย่างราคาของเหรียญ Bitcoin ก็ดิ่งลงไปถึงราว 20% จากก่อนหน้า รวมไปจนถึงเหรียญคริปโตเคอเรนซีเหรียญอื่น ๆ ด้วย