ในวงการเกม บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำพูดอย่าง เกมระดับ AAA ตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บบอร์ดพูดคุย สื่อ Social Media หรือแม้แต่เว็บไซต์ Review ต่าง ๆ จนกลายเป็นคำศัพท์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งจากสื่อและเกมเมอร์เอง แม้แต่ในวงการ Game-Fi ก็เช่นเดียวกัน วันนี้ทาง Cryptoaday จะพาเพื่อน ๆ ไปทำความเข้าใจและทราบที่มาของคำว่า เกมระดับ AAA
เกมระดับ AAA คำนี้มาจากไหน ?
เกม aaa คือ อะไร ? และมาจากไหน ? คำว่าเกมระดับ AAA เป็นคำที่ใช้เปรียบเทียบคุณภาพของเกม ซึ่งหากให้เปรียบกับวงการอื่น ๆ ก็คงเป็นคำว่า Blockbuster ในวงการภาพยนตร์ น่าจะเห็นภาพที่สุด ในหนังสือ High Score!: The Illustrated History of Electronic Games ได้มีการกล่าวว่า คำว่า เกมระดับ AAA ถูกใช้ครั้งแรกในช่วงปลายปี 1990 จากสื่อในวงการเกมหลายแห่ง เพื่อใช้ในการแสดงความรู้สึกที่มีต่อเกม
โดยเกมแรกที่คาดว่ามีการยกย่องว่าเป็น เกมระดับ AAA นั่นก็คือ Final Fantasy VII จาก Squaresoft ( Square Enix ในปัจจุบัน ) ซึ่งสามารถสร้างปรากฏการณ์ให้วงการเกมทั่วโลก ด้วยการนำเสนอฉาก Cutscene ที่มีรูปแบบคล้ายกับภาพยนตร์ การใช้ CGI คุณภาพสูง เพลงประกอบที่ใช้วงออร์เคสตรามาร่วมบันทึกเสียง และการใช้เม็ดเงินในการโฆษณาที่สูงกว่าเกมอื่น ๆ นับตั้งแต่นั้น เกมระดับ AAA จึงถูกใช้เรียกเกมที่มี Production ระดับเทพ และใช้ต้นทุนในการผลิตที่สูง
จุดกำเนิดที่ทำให้คำว่า เกมระดับ AAA ถูกใช้อย่างแพร่หลาย
ถึงแม้จะเริ่มมีการใช้คำศัพท์อย่าง เกมระดับ AAA แต่ในอดีต แต่คำ ๆ นี้ยังไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายมากนัก จนกระทั่งในยุคของ Playstation 3 และ Xbox 360 ที่มีการผลิตเกมที่ยกระดับในด้านของกราฟิก การเคลื่อนไหวที่สมจริง และสภาพแวดล้อมที่สวยงามมากยิ่งขึ้น สร้างความตกตะลึงให้ชาวเกมเมอร์เป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่า คุณภาพที่ดีขึ้น ทางผู้พัฒนาก็ต้องใช้เม็ดเงินที่สูงขึ้น ทั้งในด้านของการโฆษณา การจ้างพนักงาน และระยะเวลาในการพัฒนาที่ยาวนานขึ้น ถึงจะกลายเป็น เกมระดับ AAA ในท้ายที่สุด
เกมระดับ AAA เกี่ยวข้องอย่างไรกับ Game-Fi
เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าในปัจจุบัน Game-Fi เริ่มมีการขยับไปในทิศทางที่คล้ายกับเกมปกติทั่วไปมากขึ้น สังเกตได้จากการที่ทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่ เริ่มมีการพัฒนา Game-Fi ให้ออกมามีรูปแบบของ Play-To-Earn มากยิ่งขึ้น หมายความว่า ตัวเกมจะเน้นไปที่ความสนุกเป็นหลัก และเรื่องของรายได้เป็นรอง ส่งผลให้ผู้พัฒนาเริ่มหันมาสนใจในเรื่องของทั้ง กราฟิกที่สวยงาม Gameplay ที่ลื่นไหล รวมไปถึงการโฆษณาที่ใช้เม็ดเงินสูงขึ้น จากเมื่อก่อน จนมีหลาย ๆ เกมได้รับการยกย่องว่าเป็น Game-Fi เกม aaa คือ Star Atlas, Golden Bros จาก Netmarble, Shrapnel หรือ A3 : Still Alive ที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบมาสนับสนุนการใช้ Blockchain อีกด้วย ซึ่งหากจะให้พูดกันตามตรงคือ วงการ Game-Fi ตอนนี้กำลังผลักดันให้ตัวเองทัดเทียมกับเกมในปัจจุบันนั้นเอง
เกมระดับ AAA ดาบสองคมของบริษัท
ด้วยความที่ เกมระดับ AAA ใช้ต้นทุนในการผลิตที่สูง เวลาในการพัฒนาที่ยาวนาน รวมไปถึงการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่มากมาย ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงสูงมาก ๆ ที่จะทำให้บริษัทขาดทุนอย่างย่อยยับ จนถึงขั้นที่บริษัทอาจจะต้องปิดตัวลง จากการทำยอดขายได้ไม่ตรงตามเป้า หรืออาจจะสร้างความเสียหายที่คาดไม่ถึงในวงการเกมอีกด้วย
ซึ่งมีกรณีตัวอย่างในปี 1982 กับเกม E.T. ที่ใช้ต้นทุนในการผลิตสูงถึง 22 ล้านดอลลาร์ ( ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น ) โดยตัวเกมประสบความล้มเหลวทั้งในแง่ของยอดขายและเสียงวิจารณ์ ส่งผลให้ Atari ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและจัดจำหน่าย E.T. ต้องปลดพนักงานเป็นจำนวนมาก แผ่นเกมล้นตลาดจนต้องนำไปฝัง รวมถึงไปถึงการเกิดวิกฤตการณ์ Video Game Crash ในปี 1983 ทำให้บริษัทเกมหลายแห่งต้องปิดตัวลง
ซึ่งยิ่งไปกันใหญ่กับ Game-Fi ที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าผู้เล่นส่วนหนึ่ง เข้ามาเล่นเพราะหวังผลกำไรเป็นหลัก ซึ่งหากเกมนั้น ๆ ไม่สามารถทำได้ตามเป้า ผู้เล่นกลุ่มนั้นก็พร้อมจะทิ้งเกม เพื่อไปหาเกมใหม่ ๆ ได้เสมอ จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะสร้าง Game-Fi ที่สามารถดึงดูดผู้เล่นให้อยู่กับเกมได้นาน
สรุป
ในความหมายของ เกมระดับ AAA ทั้งในวงการเกมและ Game-Fi ก็เป็นคำที่มีความหมายและนำไปใช้ในทิศทางเดียวกัน คือเกมที่มี Production ที่ดี มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่สนับสนุน รวมไปถึงงบประมาณในการโฆษณาที่สูง ส่งผลให้เกมออกมามีคุณภาพสูง รวมไปถึงสามารถสร้างอิมแพคให้กับวงการเกมได้