Binance Smart Chain คือ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับนักพัฒนา DeFi Protocol ที่ทำการพัฒนาโดย Binance ซึ่งเป็น Exchange รายใหญ่ของโลก เพื่อออกมาเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นหลักรายเดิมอย่าง Ethereum ซึ่งกำลังประสบปัญหาเรื่องของค่า Gas หรือค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างแพง การอัปเกรดต่อจาก Binance Chain Binance ได้เปิดตัว Binance Chain ในเดือนเมษายน 2019 โดยมีโปรดักต์อย่าง Binance DEX หรือตลาดซื้อขายในรูปแบบไร้ตัวกลางเพื่อเป็นทางเลือกของนักเทรดหลังจากที่ Binance ทำหน้าที่เป็น Centralized Exchange มาก่อนหน้านี้ ต่อมาหลังจากที่กระแสของ Decentralized Finance หรือ DeFi เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้ Binance ตัดสินใจที่จะพัฒนา Protocol ในด้าน DeFi เป็นของตัวเองขึ้นจึงเป็นที่มาของ Binance Smart Chain ในที่สุด
การพัฒนาของ Binance Smart Chain
Binance Smart Chain ได้รับการพัฒนาคุณสมบัติในการสร้าง Smart Contract ทำให้นักพัฒนาจากภายนอกสามารถสร้าง DeFi Protocol ของตัวเองได้เช่นเดียวกับการสร้างบนเครือข่ายของ Ethereum ถึงแม้ว่าจะเป็นเครือข่ายหลักของการสร้าง DeFi Protocol แต่ช่วงหลังมานี้ปริมาณในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น เป็นเหตุทำให้เกิดความล่าช้าในการประมวลผล รวมถึงค่าธรรมเนียม (Gas) ที่สูงขึ้นด้วย ทำให้นักพัฒนาต้องหาทางเลือกใหม่ ซึ่งก็คือ Binance Smart Chain เป็นพื้นที่ในการเปิดให้นักพัฒนาสามารถสร้าง DeFi Protocol ขึ้นมาภายในเครือข่ายของ Binance ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การออกแบบเพื่อรองรับ Protocol
Binance Smart Chain (BSC) มีการถูกออกแบบมาให้รองรับ Protocol ที่เคยพัฒนาบนเครือข่ายของ Ethereum (หรือจะเรียกว่ารองรับ Ethereum Virtual Machine) มาแล้วก่อนหน้านี้ จึงทำให้มีรูปแบบที่ง่ายต่อนักพัฒนาในการมาสร้าง Protocol ใหม่ของตัวเองบน BSC นอกจากนี้ยังรองรับการทำงานของ DeFi Wallet ชื่อดังอย่าง Metamask อีกด้วย ทำให้ผู้ใช้งาน DeFi ดั้งเดิมที่เคยอยู่บนเครือข่าย Ethereum สะดวกที่จะปรับตัวกับการใช้งานได้ง่าย โดยใช้ BNB Token มาเป็นสื่อกลางใน BSC Binance และได้นำเอา Native Token หรือ BNB มาเป็นสื่อกลางภายในแพลตฟอร์ม BSC ภายใต้แนวคิดของ Proof of Stake (POS) กล่าวคือผู้ที่มีโทเคน BNB ก็จะสามารถนำมาใช้ทำธุรกรรมภายในแพลตฟอร์มของ BSC ได้เช่นการนำไป Staking หรือการทำ Yield Farming เป็นต้น
ข้อดีของ binance smart chain คืออะไร ?
ข้อดีของการนำ BNB มาใช้ทำธุรกรรมภายใน BSC ก็คือความรวดเร็วในการใช้งานตลอดจนอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าเครือข่ายของ Ethereum เป็นอย่างมาก DeFi Protocol เป็นที่น่าสนใจจำนวนมาก หลังจากเปิดตัว BSC ในเดือนเมษายนปี 2020 ท่ามกลางกระแสเติบโตของ DeFi เวลานี้ได้มี DeFi Protocol ชื่อดังจำนวนมากที่มาพัฒนาบน BSC อย่างเช่น Pancakeswap หรือ CAKE, Sushiswap, 1INCH, SFP, REN รวมไปถึงโปรเจกต์ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง ALICE, DODO และแม้กระทั่งโปรเจกต์ฝีมือคนไทยอย่าง Alpha Finance ก็ยังเข้ามาอยู่ใน BSC ข้อสังเกตคือปริมาณการทำธุรกรรมบน BSC เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผู้นำในตลาดนี้อย่าง Ethereum ต้องเร่งอัปเกรดตัวเองให้เข้าสู่ ETH2.0 ให้เร็วที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าของการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมที่แพง ด้วยเครือข่ายผู้ใช้งาน เงินทุนตลอดจนเทคโนโลยีที่มีในมือของ Binance มีความเป็นไปได้ว่าอนาคตจะมีนักพัฒนา DeFi Protocol หน้าใหม่หันมาสร้างโปรเจกต์บน BSC มากยิ่งขึ้นซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น
Polygon และ Solana
Polygon-Solana คู่แข่งหน้าใหม่ที่มาแรง เป็นธรรมดาของการแข่งขันที่จะต้องมีผู้เล่นหน้าใหม่เกิดขึ้นเสมอ ล่าสุดกับ Polygon Network หรือว่า Matic ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของตัว DeFi Protocol ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งานในการลงทุนใน DeFi ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่แพงจนเกินไป Polygon Network จึงเป็นเชนที่เกิดขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ BSC โดยเฉพาะ เนื่องจาก DeFi Protocol ชั้นนำบางรายอย่างเช่น Aave นั้นก็เริ่มทำการเปิดรับเชนของ Polygon ภายในแพลตฟอร์มของตัวเองแล้ว ซึ่งความน่าสนใจ คือ Mark Cuban นั้นเป็นมหาเศรษฐีนักลงทุน เขาได้ประกาศที่จะร่วมลงทุนใน Polygon Network ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงศักยภาพที่จะมีโอกาสเติบโตค่อนข้างสูงในอนาคตของ Matic สิ่งที่เห็นชัดเจนเลยก็คือราคาเหรียญ Matic ติดอันดับต้น ๆ ของเหรียญที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดของปีนี้ด้วย ขณะเดียวกันยังมี Solana ซึ่งเป็นเชนใหม่ที่กำลังมาแรงไม่แพ้กัน ถือว่ามีโอกาสเป็นคู่แข่งสำคัญของ BSC ได้ในอนาคต โดยมี Exchange รายใหญ่จากฝั่งสหรัฐอเมริกาอย่าง FTX คอยหนุนหลังอยู่ โดย Solana เริ่มต้นจากการให้บริการ Smart Contract ซึ่งมีจุดขายที่ความเร็วในการประมวลผลที่สูงและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
Binance Smart Chain คือ ทางเลือกสำหรับการลงทุนใน DeFi ที่กำลังเติบโตสูงในขณะนี้แต่ก็ยังไม่สามารถประมาทผู้เล่นรายเดิมอย่าง Ethereum ซึ่งมีนักพัฒนาในสังกัดรวมถึงผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากรวมถึงคู่แข่งหน้าใหม่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งผลดีคงตกอยู่กับผู้ใช้งานที่จะได้ใช้โปรดักส์ที่มีคุณภาพและค่าธรรมเนียมไม่สูงมากนัก
แหล่งข้อมูล: blockchain-concil.org