อย่างที่ทราบกันดี Bitcoin เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของตลาด Cryptocurrency จึงทำให้เมื่อใดก็ตามที่ราคา Bitcoin ปรับลดลง ราคาคริปโตสกุลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ETH, DOGE, หรือ ADA ก็ต่างพากันปรับลดลงตามกันมาติด ๆ แต่ถ้าราคา Bitcoin ขึ้น ราคาเหรียญอื่นก็จะขึ้นเช่นกัน นับตั้งแต่ที่ราคา Bitcoin (BTC) ได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $64,000 หรือประมาณ 2,100,000 บาท เมื่อช่วงกลางเมษายนที่ผ่านมา ทิศทาง BTC ราคาบิตคอยน์ก็ได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบ -50% จากระดับสูงสุดเลยทีเดียว www.Cryptoaday.com
สาเหตุที่ BTC ถึงจุดตกต่ำ
เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน ช่วงเดียวกับ ทิศทาง BTC ที่ราคาบิตคอยน์เริ่มปรับลดลงอย่างหนัก เป็นช่วงเดียวกับที่ Elon Musk ประกาศว่า Tesla จะยกเลิกการรับ Bitcoin ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะกังวลกับปัญหาด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และต่อมา รัฐบาลจีนก็ประกาศมาตรการขั้นเด็ดขาดกับเหมืองขุดคริปโตในประเทศ ทำให้ตลาดเกิดความกังวลและพากันขาย BTC จนราคาปรับลดลง และยังทำให้มูลค่าตลาดรวม (Market share) ของ Bitcoin ที่จากเดิมประมาณ 70% ของทั้งตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ก็ได้ปรับลดลงมาทำระดับต่ำสุดที่ 44% เป็นครั้งแรก
Bitcoin ตัวชี้วัดสำคัญ ของทิศทาง BTC
แนะนำให้จับตามูลค่าตลาดรวม (Market share) ของ Bitcoin เนื่องจากมองว่าเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่จะสามารถระบุได้ว่าทิศทางของ BTC จะกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ โดย Nikolaos วิเคราะห์ว่า “ตลาดคริปโตจะซบเซาเช่นนี้ไปจนกว่ามูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin จะสามารถฟื้นกลับขึ้นมาเหนือ 50% ได้ หรืออีกกรณีหนึ่ง ทิศทาง BTC อาจต้องปรับลดลงต่ำกว่า $30,000 (≈979,095 บาท) จึงจะสามารถดึงดูดให้เกิดการเข้าซื้อจากนักลงทุนระดับสถาบัน และหนุนให้ราคาปรับสูงขึ้นได้แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่า กรณีที่ราคาหลุด $30,000 ลงไป จะทำให้แรงเทขายอย่างหนักตามมา จนทำให้ราคาลดลงอีกก็ได้เช่นกัน” Panigirtzoglou กล่าว
BTC ในชุมชนของ Bitcoin และ Ethereum
ทิศทาง BTC ที่รัฐบาลจีนลงดาบกับเหมืองขุดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศ ได้ส่งผลให้นักขุดชาวจีนส่วนใหญ่ต้องชะลอหรือเลิกกิจการลงแต่ในอีกมุมหนึ่ง ถึงแม้จะมีข่าวในเชิงลบ แต่ในชุมชนของ Bitcoin และ Ethereum ก็ยังคงเดินหน้าเตรียมที่จะพัฒนาเครือข่ายต่อไป เช่น Bitcoin ที่จะมีการอัปเกรดด้านความเร็วในการจัดการธุรกรรมในชื่อ Taproot ภายในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ Ethereum กำลังจะมีการอัปเกรดในชื่อว่า London ที่ล่าสุดได้ทำการทดลองใช้กับ Testnet ไปแล้ว ส่วนการอัปเกรด Mainnet นั้นคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ ทางฝั่งระบบนิเวศของ DeFi โดยรวมแล้วมีเม็ดเงินที่ ถูกล็อกไว้ในเครือข่าย (Total Value Locked) สูงขึ้นประมาณ 13% จากไตรมาสที่แล้ว และยังคงไม่นับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบนิเวศของเครือข่าย Ethereum ได้แก่ Stablecoin, NFT รวมถึง Token อื่น ๆ
สรุป จากความคิดเห็นที่ยกตัวอย่างมานี้ จะเห็นแล้วว่านักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญ ยังมีมุมมองที่ ทิศทาง BTC เป็นค่อนข้างดีต่อทิศทาง ของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เมื่อพิจารณาจากสถิติในอดีต ทั้งในด้านปัจจัยทางเทคนิค และปัจจัยพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากอดีตไม่สามารถยืนยันทิศทางในอนาคตได้เสมอไป ดังนั้นผู้ลงทุนควรมีวิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.Cryptoaday.com