หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่งรายงานออกมาว่าดัชนีราคาผู้บริโภค ( CPI ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ได้สรุปค่าเงินเฟ้อออกมา ปรากฏว่ามีแนวโน้มที่จะเฟ้อสูงมากกว่า 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี เป็นการยอมรับของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากที่ได้ปฏิเสธว่ามีเงินเฟ้อสูงเกินกว่าที่กำหนดไว้ แล้วเงินเฟ้อสูงขึ้นแบบนี้จะส่งผลอย่างไรต่อ บิทคอยน์ และ เหรียญคริปโตเคอเรนซี
ยิ่งค่าเงินเฟ้อสูงมากขึ้น บิทคอยน์ จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นด้วยเช่นกัน
เมื่อมูลค่าของเงินกระดาษนั้นนับวันจะด้อยค่าลงไปเรื่อย ๆ ประชาชนและนักลงทุนจะต้องมองหาสิ่งที่เข้าทดแทนในมูลค่าของเงินที่กำลังลดลง ซึ่งก็คือสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ หุ้น หรือแม้แต่ คริปโตเคอเรนซี ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่นักลงทุนนั้นกำลังวิเคราะห์กันว่าอะไรที่จะสามารถนำมาชดเชยมูลค่าเงินที่ลดลงได้บ้าง
และนักลงทุนส่วนหนึ่งก็จะมองว่า บิทคอยน์ นั้นเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถนำมาใช้ต้านเงินเฟ้อได้ สามารถเป็น Store Of Value ได้ นักลงทุนเริ่มเข้ามาลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้น จึงทำให้มีกระแสเงินนั้นเข้ามาสู่ตลาดคริปโตเคอเรนซีมากขึ้น แต่ก็อาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นักลงทุนเลือกมาเท่านั้นแต่ก็เพียงพอที่จะผลักดันให้มูลค่าของ บิทคอยน์ และ เหรียญคริปโตเคอเรนซี นั้นมีมูลค่ามากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน
นโยบายทางการเงิน มีผลต่อมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง บิทคอยน์ เช่นกัน
เมื่อมีการยอมรับจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ ( FED ) แล้วว่าปัจจุบันนี้มีเงินเฟ้อขึ้นมาสูงมากเกินไปจริง ทำให้ได้มีการประกาศนโยบายทางการเงินออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ แนวทางที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และ การลด QE ที่ทำให้เงินในระบบนั้นลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่มักใช้กันอยู่เป็นประจำ
แต่ถ้าเกิดว่านโยบายทางการเงินเหล่านี้แก้ไขปัญหาของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นไม่ได้แล้วละก็ นักลงทุนก็ต้องมองหาสิ่งที่จะช่วยให้ทรัพย์สินของตัวเองนั้นไม่ลดมูลค่าลงตามไปด้วย การถือครองเงินกระดาษจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ นักลงทุนก็จะเริ่มมองสินทรัพย์ที่ช่วยในส่วนนี้ได้และ บิทคอยน์ เองก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่สามารถช่วยได้จริง