Indicator ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ ( RSI )

ทำความรู้จักกับ Indicator ยอดนิยม ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ ( RSI )

ดัชนี Relative Strength Index ( RSI ) ที่พัฒนาโดย J. Welles Wilder เป็นออสซิลเลเตอร์โมเมนตัม ที่วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา RSI ซึ่งจะแกว่งไปมาระหว่าง 0 ถึง 100 ตามพื้นที่ของเส้น RSI และระบบจะถือว่ามีการซื้อมากเกินไป ( Overbought ) เมื่ออยู่เหนือ 70 และขายมากเกินไป ( Oversold ) เมื่อต่ำกว่า 30

Indicator นี้ทำงานอย่างไร

RSI จะถือว่าซื้อมากเกินไปเมื่อสูงกว่าระดับ 70 และขายมากเกินไปเมื่อต่ำกว่า 30 ระดับดั้งเดิมเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้หากจำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากการราคาสูงขึ้นและทำให้ดัชนีเข้าใกล้ระดับการซื้อเกิน 70 ซ้ำหลายครั้ง อาจต้องปรับระดับนี้เป็น 80

ในช่วงแนวโน้มที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง RSI อาจยังคงอยู่ในการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน 

RSI มักจะสร้างรูปแบบกราฟของ Indicator ที่อาจไม่แสดงในกราฟราคาพื้นฐาน เช่นรูปแบบ double tops และ bottoms ที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ เพื่อกำหนดแนวโน้มของตลาดได้ นอกจากนี้ ให้มองหาแนวรับหรือแนวต้านบน RSI เพื่อที่จะช่วยเป็นตัวกำหนดราคา ว่าจะขึ้นลง ได้เท่าไหร่ 

ในตลาดขาขึ้นหรือขาขึ้นหรือตลาดกระทิง RSI มีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในช่วง 40 ถึง 90 โดยที่โซน 40 – 50 ทำหน้าที่เป็นแนวรับ ในช่วงขาลงหรือตลาดหมี RSI มีแนวโน้มที่จะอยู่ระหว่าง 10 ถึง 60 โดยที่โซน 50-60 ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน ช่วงเหล่านี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตั้งค่า RSI และความแข็งแกร่งของแนวโน้มพื้นฐานของตลาด

หากราคาอ้างอิงสร้างจุดสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่ ที่ไม่ได้รับการยืนยันจากค่า RSI ความแตกต่างนี้สามารถส่งสัญญาณการกลับตัวของราคา หาก RSI ทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าแล้วตามด้วยการเคลื่อนไหวด้านล่างที่ต่ำกว่าระดับต่ำสุดก่อนหน้า แสดงว่า Top Swing Failure เกิดขึ้น หาก RSI ทำจุดต่ำสุดที่สูงกว่าแล้วตามด้วยการเคลื่อนไหวกลับหัวเหนือระดับสูงสุดก่อนหน้า แสดงว่า ฺBottom Swing Failure ได้เกิดขึ้น จะทำให้ราคาผันผวน

ใช้ RSI เพื่อบ่งบอกสัญญาณล่วงหน้า

กล่าวคือเราสามารถใช้ ค่า RSI และกราฟของราคา มาเพื่อกำหนด ลักษณะของ Divergent ได้ เช่นหาค่า RSI  นั้นต่ำลงในขณะที่ ราคานั้นได้ยกตัวสูงขึ้น นั่นอาจจะหมายความว่า กำลังเกิดสัญญาณ Bearish divergence ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการลดลงของราคาอย่างฉับพลันในอนาคตข้างหน้า ในขณะเดียวกันหากค่า RSI นั้นสูงขึ้น แต่ราคานั้นได้ต่ำลง นี่ก็เป็นสัญญาณของ bullish divergence ที่จะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของราคาในอนาคตข้างหน้า